ตลาดการค้าคาร์บอนเครดิตในสหภาพยุโรปและกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป
ตลาดการค้าคาร์บอนเครดิตในสหภาพยุโรปและกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วยการปรับปรุง CDM ตลาดการค้าคาร์บอนเครดิตในสหภาพยุโรปและกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วยการปรับปรุง CDM ในขณะที่สหภาพยุโรป ภายใต้ระบบ EU ETS เป็นผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต รวมทั้ง CERs รายใหญ่ของโลก รายงานวิเคราะห์ตลาดดังกล่าวคาดการณ์ว่า กฎระเบียบใหม่ของ EU ว่าด้วยการปรับปรุง CDM อาจไม่รวมคาร์บอนเครดิตจำนวน 530 ล้านเครดิต เข้าไปในระบบ Emission Trading Scheme (ETS) ระยะที่ 3 ของสหภาพยุโรป โดยแยกโครงการ ประเภท HFC-23 และ N2O adipic acid ออกมา ซึ่งอาจทำให้เกิดอุปทานหรือซัพพลายของเครดิต CERs ไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อและนำเข้าของสหภาพยุโรป ภายใต้โครงการ CDM จากประเทศกำลังพัฒนา ร่างกฎระเบียบฉบับใหม่ว่าด้วยการปรับปรุง CDM ดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการเปิดเผยภายในเดือน พ.ย. 2553 นี้ และคาดว่าจะแยกเครดิตที่ได้มาจากโครงการประเภท HFC-23 และ N2O adipic acid จะถูกแยกแยะออกจากคาร์บอนเครดิตประเภทอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นไป เนื่องจากโครงการประเภท HFC-23 และ N2O adipic acid เป็นโครงการสองประเภทที่ได้รับการถกเถียงกันมากว่าผู้ผลิตเครดิต CERs จากโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการลดก๊าซคาร์บอนและรักษาสิ่งแวดล้อมมาก น้อยเพียงไร
นอกจากว่าอุปทานหรือซัพพลายของคาร์บอนเครดิตใน ตลาด (เมื่อแยก HFC-23 และ N2O adipic acid ออกไป) อาจไม่เพียงพอต่ออุปสงค์หรือความต้องการซื้อของอุตสาหกรรมภาคส่วนต่างๆ ที่รวมอยู่ในระบบ ETS อีกทั้ง บริษัทและอุตสาหกรรมยุโรปที่อยู่ภายใต้ระบบ EU ETS เองต้องประสบกับการแข่งขันการซื้อคาร์บอนเครดิตกับบริษัทจากประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น และรัฐบาลประเทศสมาชิกของประเทศยุโรปเอง และรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
European Union Emission Trading Scheme (EU ETS) เป็น ตลาดคาร์บอนของสหภาพยุโรปที่มีตัวบทกฎหมายในประเทศกำกับดูแล (Regulated Market) กล่าวคือ ตลาดดังกล่าวมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยใช้หลัก Cap and Trade ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปใดที่มีพันธกรณีตามพิธีสารเกียวโต หากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าที่พันธกรณีพิธีสารเกียวโตกำหนด ก็สามารถนำส่วนเกิน (Allowance) นั้นไปขายใน EU ETS ให้แก่ประเทศที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปริมาณที่พันธกรณี พิธีสารฯ กำหนดได้ โดยประเทศนั้นๆ สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตใน EU ETS เพื่อชดเชยกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศของตน สหภาพยุโรปเริ่มเปิดดำเนินการโครงการนำร่อง EU ETS ในปี ค.ศ. 2005 และเปิดดำเนินการจริงในปี ค.ศ. 2008 ปัจจุบันนับได้ว่า EU ETS เป็นตลาดคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก การดำเนินการของ EU ETS แบ่งออกเป็น 3 ช่วง (Phase) ได้แก่ 1) ช่วงที่ 1 (Phase I) ปี ค.ศ. 2005-2007 2) ช่วงที่ 2 (Phase II) ปี ค.ศ. 2008-2012 นอกจากนี้ สหภาพยุโรปกำลังร่างกฎหมายการประมูลคาร์บอนเครดิต (Auctioning) ซึ่งคาดว่าจะนำมาประกาศใช้ปลายในปี ค.ศ. 2010 กฎหมายนี้อาจส่งผลดีต่อประเทศไทย เนื่องจากหนึ่งในสาระสำคัญของตัวบทกล่าวถึงการปันผลกำไรจากการประมูลเพื่อ ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา 3) ช่วงที่ 3 (Phase III) เริ่มในปีค.ศ. 2013 สำหรับประเทศไทย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (Non-Annex I Countries) จึง ไม่มีพันธกรณีที่ต้องลดการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้มีส่วนร่วมใน EU ETS ผ่านการค้าคาร์บอนเครดิตอีกประเภทหนึ่ง คือประเภทที่ได้จากการโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มประเทศ กำลังพัฒนา หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ซึ่งคาร์บอนเครดิตที่ได้เรียกว่า Certified Emission Reduction (CER) กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) เป็น กลไกที่กำหนดขึ้นภายใต้พิธีสารเกียวโต ว่าด้วยการอนุญาตให้ประเทศอุตสาหกรรมที่มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจก สามารถไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาที่ร่วมในโครงการลดก๊าซเรือนกระจก โดยกลไกนี้จะผลักดันให้เกิด Win-win benefits คือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือ Annex I Countries (ประเทศผู้ลงทุน) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามพันธกรณีในต้นทุนที่ต่ำกว่าหากจะลดในปริมาณ ที่เท่ากันภายในประเทศของตน ขณะเดียวกันประเทศกำลังพัฒนา หรือ Non-Annex I Countries (ประเทศเจ้าบ้าน) ก็ได้รับประโยชน์ผ่านการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน จากเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สะอาด ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากโครงการ CDM นับเป็นคาร์บอนเครดิต ประเภท Certified Emission Reduction หรือ CER โดยโครงการเหล่านี้จะได้รับคาร์บอนเครดิต หลังจากที่ได้ขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจาก CDM Executive Board (CDM EB) ในประเทศไทยองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องโครงการ CDM คือ องค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) |
Written by คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป