ไทยเบฟ ปั้นฝันคนไทย ..พิชิตยอดเขา Everest
ไทยเบฟ ปั้นฝันคนไทย ..พิชิตยอดเขา Everest
โดย : ชาลินี กุลแพทย์
การให้ ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงวัตถุสิ่งของหากสิ่งที่เรียกว่า“โอกาส”คือการให้ที่งดงามไม่แพ้กันเช่นเดียวกับไทยเบฟเวอเรจให้คนไทยมีชื่อพิชิต Everest
“เราต้องการส่งเสริมคนไทย ให้กล้าคิดที่จะทำสิ่งยิ่งใหญ่ ในระดับโลก”
นี่คือ คำพูดของ “ชาลอต โทณวณิก” ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เมื่อครั้งบินลัดฟ้าไปประเทศเนปาล เพื่อบอกเล่าจุดมุ่งหมายของโครงการ “Thai Everest 2011 Live Your Dream” คิดใหญ่ กล้าใช้ชีวิต นำคนไทยตัวเล็กๆ ไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
นับเป็นการฉีกรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อสังคม ของไทยเบฟที่ผ่านมา ที่มักจะเน้นใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ สังคม การศึกษา สาธารณสุข ศิลปวัฒนธรรม และกีฬา มาเป็นการเดินหน้าทำอะไรเพื่อสังคม ดูบ้าง
“หากใครมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เราพร้อมเปิดห้องพิจารณาแบบไม่มีกำหนดเวลา และพร้อมสนับสนุนคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่” นั่นคือ สิ่งที่ชาลอตบอก
เช่นเดียวกับ “ณัฐพล ทรัพย์มนู” เจ้าของธุรกิจผลิตประตูหน้าต่าง ยูพีวีซี และกระจกพิเศษชนิดต่างๆ ที่หอบเอา “ความฝัน” มานำเสนอ “ไทยเบฟ”
ความมุ่งมั่นของเขา อาจทำให้ใครหลายตะลึง เพราะคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยาก “พิชิตยอดเขา Everest” ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก ด้วยระดับความสูง 8,848 เมตร!
การตัดสินใจรับพิจารณาความฝันของ “ณัฐพล” ส่วนหนึ่งมาจากความมุ่งมั่นที่ผู้บริหารไทยเบฟมองเห็นในตัวชายผู้นี้ ใครคนหนึ่งที่ใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อฟิตซ้อมร่างกายอย่างหนัก ลงมือศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับ Everest มาแล้วรอบด้าน เพื่อสั่งสมความพร้อมในการเดินตามฝัน...ได้จารึกชื่อคนไทยบนยอดเขา Everest
สำคัญกว่านั้น คือ มันสอดรับกับปณิธานของไทยเบฟ ที่ต้องการทำโครงการส่งผ่านประโยชน์ต่อ “สังคมไทย คนไทย ความเป็นไทย และน้ำใจไทย”
“นับเป็นการสืบทอดปณิธานหลักของบริษัท และเมื่อเขามีความพยายามมาก เราก็ไม่ควรรีรอ”
และแล้ววันที่ได้ปีนป่ายความฝันก็มาถึง แต่ “ณัฐพล” ก็ไปไม่ถึงเส้นชัย หลังปีนขึ้นไปได้เพียงระดับ 7,500 เมตร ไม่สามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกได้
“ภารกิจพิชิตยอดเขา Everest ในครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศจีนทำเชือกที่ต้องใช้ปีนในระยะสุดท้ายล่าช้า ทำให้เลยช่วงเวลาที่สภาพอากาศเหมาะสม ขณะที่สภาพอากาศในฝั่งเหนือก็แปรปรวนมาก เพราะฤดูมรสุมมาเร็วกว่าปกติ ทำให้ Sherpa ทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นที่คอยนำทางขึ้นยอดเขา เห็นตรงกันว่าต้องเดินทางกลับ” ณัฐพล บอกเล่าเหตุผลของการปีนลงจากความฝันแม้ยังไม่ถึงฝั่งฝัน
แต่ “ความผิดหวัง” กลับไม่ได้ทำให้เขา “สิ้นหวัง” เมื่อณัฐพลบอกว่า จะขอกลับไปฟิตซ้อมร่างกาย และกลับมาพิชิตความฝันของตัวเองอีกครั้งในปีหน้า
“ผมต้องกลับมาใหม่แน่นอน เพราะโครงการนี้ให้อะไรดีๆ กับผม ทำให้ผมได้บทเรียนชีวิตหลายอย่าง แบบที่ใครหลายคนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมัน”
ขณะที่โครงการนี้ยังไม่ได้สิ้นสุด ไทยเบฟ ยังพร้อมสานต่อโครงการดีๆ เดินหน้าสานฝันคนกล้าคิด กล้าทำ ให้เป็นความจริง ต่อไป
“ส่วนหนึ่งของแผน CSR ของเรา จะมีเรื่องเกี่ยวกับการสานฝันของคนกล้าคิด กล้าทำให้เป็นความจริง เพราะคนที่คิดการใหญ่ แต่ขาดคนสนับสนุนมีอยู่มากในเมืองไทย และเราก็จะให้การสนับสนุนคนเหล่านี้”
สำหรับมุมมองการทำธุรกิจเพื่อสังคมของไทยเบฟ “ชาลอต” บอกว่า ยังคงเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ โดยที่ผ่านมาไทยเบฟ ยังคงสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมในด้านต่างๆ โดยในปี 2553 มีผลิตผลจากโครงการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
อาทิเช่น โครงการ ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว ที่ทำติดต่อกันมาหลายปี เรียกได้ว่ากลายเป็น “โลโก้” ของไทยเบฟไปแล้ว เพราะคือโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำต่อเนื่องมากว่าทศวรรษ ในการมอบผ้าห่มให้กับผู้ประสบภัยหนาวปีละกว่า 200,000 ผืน คิดเป็นมูลค่านับ 50 ล้านบาท
หรืออย่าง โครงการ “ไทยเบฟ ไทยทาเล้นท์” สนับสนุนและส่งเสริมความสามารถและพรสวรรค์ของคนไทยในแขนงต่างๆ โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ กลุ่มดนตรี กลุ่มกีฬา กลุ่มศิลปวัฒนธรรม และกลุ่มการศึกษา การสนับสนุนยังทำในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ การฝึกอบรม การพัฒนาความรู้ และให้ทุนการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
ด้านกีฬา ได้ส่งเสริมและสนับสนุนสมาคมกีฬาต่างๆ เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล มวยไทย สนุกเกอร์ จักรยาน และแข่งเรือยาว
ส่วนการศึกษา ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะเด็กและเยาวชนคืออนาคตของประเทศในวันหน้า การลงมาสนับสนุนด้านการศึกษาของไทยเบฟ เลือกทำตั้งแต่มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ โดยในปีที่ผ่านมา มอบทุนไปแล้ว 72 ทุน เป็นเงินทุนรวม 1.8 ล้านบาท เพื่อพัฒนานักศึกษาไทยให้มีคุณภาพและพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อสำเร็จการศึกษา รวมถึงขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายโต๊ะเก้าอี้จำนวน 1,792 ชุด เพื่อพระราชทานให้โรงเรียนในจังหวัดทางภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยที่ผ่านมา เป็นต้น
ในด้านศิลปวัฒนธรรม ก็สนับสนุนกิจกรรมที่รักษาและส่งเสริมขนบธรรมเนียมและศิลปวัฒนธรรมของไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ด้านสาธารณสุข สอดรับแนวคิด “ห่วงใยสุขภาพและสาธารณสุขของคนไทย” จึงขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ที่โดดเด่น คือ การลงนามสัญญาสร้างสถาบันโรคไต เป็นต้น
นอกจากกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมทั้ง 5 ด้าน ไทยเบฟ ยังมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการเข้าร่วมและจัดกิจกรรมพิเศษภายใต้ชื่อ “โครงการคนไทยรักในหลวง” ที่ทำสืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550
นี่คือผลิตผลของโครงการ ที่มาจากปณิธานหลัก คือ การมุ่งวางนโยบายและจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย คนไทย ความเป็นไทย และน้ำใจไทย
เพราะ...“คนไทยไม่ทิ้งกัน”