โครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วมโดยใช้ก๊าซธรรมชาติของ ไออาร์พีซี
โครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วมโดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาของ ไออาร์พีซี
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ “ไออาร์พีซี” (“บริษัทฯ”) เดิมชื่อ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทีพีไอ”จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ.2521 โดยกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์ จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2537 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2538
บริษัทฯ เริ่ม ผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อจำหน่ายในปี 2525 และได้ขยายสายการผลิตผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกชนิดต่างๆเพิ่มขึ้นรวมทั้งขยายโรงงานและ สร้างสาธารณูปโภค พื้นฐานสำหรับ
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจร ต่อมาบริษัทฯประสบภาวะวิกฤตทางการเงิน หลังจากการลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อปี 2540 บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเมื่อปี 2543 และประสบความสำเร็จในการ ฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2549 ปัจจุบัน บริษัทฯ และบริษัทในเครือ ไออาร์พีซี เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีโรงงานอยู่ที่ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทฯ พร้อมสาธารณูปโภค ที่สนับสนุนการดำเนินอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจร เช่น ท่าเรือน้ำลึก คลังน้ำมัน โรงไฟฟ้า
สำหรับโครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วม(Combined Heat and Power Project/CHP) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 50 โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือน มิ.ย. 52 เป็นต้นมา และจะดำเนินการแล้วเสร็จทุกหน่วยการผลิตในเดือนพฤษภาคม 54
ปัจจุบันหน่วยการผลิตมีความพร้อมสามารถดำเนินการแล้ว 1 หน่วยการผลิต จากจำนวนทั้งหมด 6 หน่วยการผลิต ซึ่งมีพิธีขนานเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (Power Synchronization) อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มกราคม 2554 โดยมี ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสหัสชัย พาณิชย์พงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไออาร์พีซีฯ นายโพธิวัฒน์ เผ่าพงศ์ช่วง ผู้จัดการฝ่ายกิจการเพื่อสังคม บริษัทไออาร์พีซีฯ และพนักงานร่วมแถลงเปิด
เมื่อโครงการผลิตพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วม โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CHP) เดินเครื่องทั้ง 6 หน่วยการผลิต ในเดือนกรกฎาคม 54 จะมีความสามารถในการผลิตไอน้ำด้วยกำลังการผลิต 420 ตันต่อชั่วโมง และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 220 ล้านหน่วยต่อชั่วโมง (220 MW) ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการผลิตไอน้ำและไฟฟ้ามากขึ้น โดยเมื่อโครงการ CHP สามารถเดินเครื่องหน่วยผลิตไฟฟ้า และไอน้ำได้อย่างสมบูรณ์แล้ว บริษัทฯจะทำการหยุดเดินเครื่องระบบหน่วยผลิตไอน้ำที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดจำนวน 6 หน่วยการผลิตตามนโยบายและเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของบริษัทฯ ที่จะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2) ออกสู่อากาศได้ถึง 400,000 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกป่า 23,059 ไร่ นับเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน ตามพิธีสารเกียวโต โดยโครงการฯได้รับการรับรองจากองค์การบริหารก๊าซหรือเรือนกระจกแห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้โครงการฯยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาในการผลิตไอน้ำ ลงได้ 240,000 ตันต่อปี และสามารถลดอัตราการระบายมลสารก๊าซซัลเฟอร์ได้ออกไซค์ (SO2) จากการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาลงได้ร้อยละ 40 จากปัจจุบัน
ที่มา:ฉัตรชัย สายจีน / ทีมข่าวระยอง http://www.rayong-news.com/techno/tn_0239.html / http://www.irpc.co.th/?p=4390&lang=en