ปฏิวัติธุรกิจ!! สู่วิถีแห่ง ?Green? โดย : จีราวัฒน์ คงแก้ว
บทความปฏิวัติธุรกิจ!! สู่วิถีแห่ง “Green” โดย : จีราวัฒน์ คงแก้ว
พงษ์ทิพย์ เทศะภู” ผอ.ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจไหน เราก็มุ่งสู่“Green”ได้ เพียงแค่ “คิดดี ทำดี"ทำธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อผู้คนและโลก สร้างสังคมน้ำดีด้วย..ธุรกิจสีเขียว
ความสำเร็จของธุรกิจขนาดใหญ่ ล้วนเริ่มต้นมาจากการคิดเผื่อ “ผู้คน” และ “โลก” เช่นเดียวกับตัวแทนภาคธุรกิจที่ร่วมแบ่งปันวิธีคิด ในเวทีสัมมนากรุงเทพธุรกิจ Green Forum : Green Economy ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยยั่งยืน หัวข้อ Panel Discussion “นวัตกรรม ‘ต้นแบบ’ บุกตลาดกรีน“
วิธีคิดแบบเจเนอรัล อีเลคทริค หรือ “จีอี” ธุรกิจเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เลือกสร้างความยั่งยืนให้กับการเติบใหญ่ของพวกเขา ด้วยแนวทางธุรกิจสีเขียว โดยไม่มองเพียงความสำเร็จทางธุรกิจ แต่คำนึงถึง “สังคม” ไปพร้อมกันด้วย
“พรเลิศ ลัธธนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนอรัล อีเลคทริค ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บอกว่า จีอีทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมมาโดยตลอด สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเขาคือ ทำอย่างไรที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ ไม่เพียงตอบสนองความต้องการของลูกค้า หากยังรวมถึงสามารถลดมลภาวะ ลดการใช้ทรัพยากร และพลังงาน พร้อมกระตุ้นการเติบโตทางธุรกิจให้จีอีไปพร้อมกัน
ในปี 2003 จีอี เริ่มมาบุกเทคโนโลยีสีเขียวอย่างจริงๆ จัง โดยเชื่อว่านี่คือ “อนาคต” ของพวกเขา ขณะเดียวกันก็เป็นทางออกให้กับสังคม จึงเริ่มกำหนดเป็นกรอบกติกา ทั้งทำกับตัวเอง ทำกับคู่ค้า และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
“เราลงทุนเพิ่มในเรื่องของกรีนเทคโนโลยี จากตอนเริ่มต้นจีอีลงทุนปีละประมาณ 21,000 ล้านบาท ในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อม จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และในปี 2015 เราก็ตั้งเป้าที่จะใช้เงินถึงหมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณสามแสนล้านบาท ไปกับเรื่องของกรีนเทคโนโลยี”
ที่มาของการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่หลากหลาย เข้าไปแก้ปัญหาให้กับภาคส่วนต่างๆ อย่างบ้านประหยัดพลังงาน เครื่องยนต์ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบหมุนเวียนน้ำนำกลับมาใช้ใหม่ พลังงานทางเลือก
ในเวลาเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานของพวกเขา ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในธุรกิจ และลดการใช้น้ำ เสริมประสิทธิภาพการนำน้ำมาใช้ซ้ำ เหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย
“ในแง่ของธุรกิจที่บอกว่าเราจะทำประโยชน์ให้กับสังคม แน่นอนว่าเราคงไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนองค์กรของรัฐ หรือ เอ็นจีโอ แต่ จีอี เน้นชัดว่าเราเป็นองค์กรธุรกิจ เราทำธุกริจ ทำผลิตภัณฑ์ และให้บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือสิ่งที่เราเชื่อมั่นและยึดถือมาโดยตลอด”
วิธีคิดของเจ้าคอนเซปต์ “Ecomagination” อย่าง จีอี ไม่ได้ห่างไกลจากมุมคิดดีๆ ของ ยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์โปรดักส์อย่าง “ยูนิลีเวอร์”
“พงษ์ทิพย์ เทศะภู” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ชี้ให้เห็นภาพของผลิตภัณฑ์ยูนิลิเวอร์จำนวนมหาศาล ที่คนไทยและคนอีกกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลกใช้อยู่ในทุกๆ วัน
สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นไม่ได้ให้แค่ความสะดวกสบายแก่ผู้คน หากยังมีส่วนสร้างผลกระทบให้กับโลก ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภค
กลายเป็นที่มาของการปฏิรูปแผนธุรกิจใหม่ ที่พวกเขาเรียกว่า “แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของยูนิลีเวอร์” ซึ่งประกาศใช้ไปทั่วโลก เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
“ในแผนนี้คือเราจะขยายธุรกิจให้โตเป็นสองเท่า ภายใน 5-6 ปี ข้างหน้า แต่โจทย์ที่มากกว่านั้น คือต้องลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมลงให้ได้ครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกให้ดีขึ้นด้วย”
เพราะคนในสังคม คือผู้ใช้สินค้า คุณภาพที่ดีขึ้นของคนเหล่านี้ ก็คืออนาคตของธุรกิจ “ยูนิลีเวอร์” ตามวิธีคิด
“สังคมอยู่ได้ ธุรกิจอยู่ได้”
วิธีคิดใหม่ของ “ยูนิลีเวอร์” จึงให้ความสำคัญตั้งแต่ที่มาของแหล่งวัตถุดิบ โดยเลือกแหล่งลิตที่ยั่งยืน ไม่ใช้สารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้เมื่อเข้าสู่โรงงานผลิต ก็จะควบคุมกระบวนการผลิตให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงาน มีการทำเรื่องพลังงานหมุนเวียน พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่มซึ่งลดการใช้น้ำลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบขวดผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้ได้จนหยดสุดท้ายไม่ใช่แค่คุ้ม แต่ยังต้องการให้เกิดกระบวนการใช้ซ้ำ หรือรีไซเคิล รณรงค์การใช้ผลิตภัณฑ์รีฟิล ออกแบบแพคเก็จจิ้งที่ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
“เรานำเรื่องพวกนี้มาคิดตลอดเวลา ทุกคนมีโจทย์ เราไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของโรงงานเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ไอที การตลาด ฝ่ายผลิต ทุกๆ คนช่วยกันทำ แล้วสื่อสารไปยังสังคม”
ขณะที่ขยะมหาศาลจาก “ยูนิลิเวอร์” และทุกธุรกิจ คือ “ขุมทรัพย์” สำหรับ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ประธานกรรมการ โรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์
คนที่เชื่อว่า “จริงๆ ไม่มีขยะบนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงทรัพยากรที่วางไว้ผิดที่เท่านั้น"
เพราะไม่ว่าจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ ขวด อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ที่หลายคนขยะแขยง แต่นี่คือ เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตพนักงานวงษ์พาณิชย์ กว่า 14,000 คน มาตลอด 37 ปีที่ผ่านมา และทำให้ธุรกิจสัญชาติไทยไปปักธงรบไกลถึงในอเมริกา
“คนอเมริกันทิ้งขยะต้องเสียเงินเดือนละ 150 เหรียญสหรัฐ แต่พอเราไปเปิดบริการ เขารื้อตึก รื้อบ้าน ก็เอามาให้เราหมด สำหรับผมตลาดสีเขียว เป็นตลาดที่ใหญ่มากจริงๆ จนเรียกได้ว่าเป็น บลูโอเชียน”
วิธีคิดเติบใหญ่ในตลาดสีเขียว เจ้าพ่อรีไซเคิล บอกเราว่า เริ่มต้นจาก “ใจ” สำคัญที่สุด
“ต้องเริ่มต้นจากใจเราก่อน ใจของผู้บริหารต้องทำให้มันเป็นสีเขียวให้ได้ ต้องบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ทำด้วยความจริงใจ มุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ จากนั้นก็บอกพนักงานของเรา กระจายออกไปถึงคนที่รู้จักเรา ตลอดจนสังคมไทย และสังคมโลก”
แนวคิดเรื่องกรีน เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกธุรกิจ กระทั่งธุรกิจการจัดประชุมและนิทรรศการ ที่ “อรรคพล สรสุชาติ” ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) บอกว่า การจัดงานประชุมและนิทรรศการจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องกรีนมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และลดความฟุ่มเฟือยลง อย่างดอกไม้ กระดาษ ของตกแต่งที่ไม่จำเป็น ก็ตัดออกไปบ้างเพื่อ “เซฟเงิน และเซฟโลก”
ขณะที่ จักรพันธ์ อริยะวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูพรีม รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ก็ยังคงเดินหน้า นำของเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตพลังงานงานไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศ และสร้างรายได้ให้เกษตรกรในเวลาเดียวกัน
เท่านี้ก็พอยืนยันได้ ว่าถ้าเพียงมีใจมุ่งมั่น ไม่ว่าจะกิจการไหน ก็มุ่งสู่วิถี “Green” ได้