http://www.csrcom.com/
True ปลูกปัญญา

CSR กับการทำนุบำรุงพนักงาน

บทความ

CSR กับการทำนุบำรุงพนักงาน

โดย:ดร.โสภณ พรโชคชัย

     ผมเพิ่งทำเงินหล่นไป 3.5 ล้านบาทเพราะจ่ายโบนัสประจำปี 2551-2 ซึ่งจ่ายในทุกเดือนเมษายนแก่เพื่อนร่วมงาน (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า พนักงาน”) ของผม ที่พิเศษก็คือ ในปีนี้แทบจะไม่มีวิสาหกิจที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ในแวดวงของผมจ่ายโบนัสเลย

เรื่องนี้มองได้ทั้งในแง่ของการบริหารวิสาหกิจให้ทำกำไรได้อย่างไรในภาวะวิกฤติ แต่ผมขอเลือกนำเสนอในที่นี้ในแง่มุมของความรับผิดชอบต่อสังคมของวิสาหกิจ หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ความรับผิดชอบสำคัญประการหนึ่งของวิสาหกิจก็คือความรับผิดชอบต่อลูกจ้างหรือพนักงาน นอกเหนือจากความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ต่อลูกค้า ต่อชุมชนโดยรอบ ต่อสังคมโดยรวม และต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น

ผมไม่ได้เขียนบทความนี้ในฐานะนักวิชาการ แต่เขียนจากประสบการณ์ทำ CSR จริงในฐานะผู้บริหารวิสาหกิจ ผมพยายามระวังไม่ให้เป็นการ ยกหางตัวเองแต่จำเป็นต้องยกตัวอย่างวิสาหกิจของผมเองเพื่อให้เห็นการปฏิบัติ CSR จริงในกรณีพนักงานซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกกลุ่มหนึ่งทำเงินหล่นไป 3.5 ล้านบาท ผมทำธุรกิจที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชื่อ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) โดย เป็นศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และครอบคลุมการดำเนินงานในประเทศอาเซียนด้วย ในขณะนี้มีเพื่อนร่วมงานอยู่ทั้งหมด 125 คนที่ปฏิบัติงานสำนักงานใหญ่และสาขาในภูมิภาค

เรามีเพื่อนร่วมงาน 101 คนที่ทำงานมาครบ 1 ปีจนได้รับโบนัสประจำปีเฉลี่ยคนละ 1.5 เดือน หรือรวมเป็นเงินประมาณ 3.5 ล้านบาท การนี้ถือเป็นประเพณีทุกปีนับตั้งแต่ตั้ง AREA เมื่อปี 2534 ที่เราจ่ายโบนัสปีละครั้งและปรับเพิ่มเงินเดือนปีละ 2 ครั้ง แม้ในช่วงวิกฤติปี 2540 และ 2552 ก็ตาม

ถ้าผมจะปฏิบัติเช่นวิสาหกิจส่วนมากในวงการเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถจ่ายโบนัสได้ ผมก็อาจ ฉ้อฉลเพื่อนร่วมงานโดยจ่ายโบนัสแต่น้อย (ไม่ถึงกับไม่จ่าย) ก็ยังทำได้ไม่ยากด้วย เพราะก่อนถึงเวลาจ่ายโบนัส ผมได้สำรวจความเห็นของเพื่อนร่วมงาน พวกเขาต่างก็เข้าใจและไม่ได้เรียกร้องอะไรเป็นพิเศษในสถานการณ์เช่นนี้

  วิธีในการ ฉ้อฉลเพื่อนร่วมงานนั้นทำได้ไม่ยาก ด้วยอาศัยการ ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” (หรือความจริงบางส่วน) ยิ่งถ้าทำตัวเป็นคนธรรมะธรรโมได้ยิ่งดูน่าเชื่อถือ และตบท้ายด้วยคำหวานที่สัญญาว่าจะพิจารณาจ่ายให้ในปีถัดไปแทน ด้วยการ ฉ้อฉลเช่นนี้ ผมก็อาจจ่ายโบนัสน้อยกว่านี้โดยอาจประหยัดได้เป็นล้านบาท เอาไปเปลี่ยนเป็นรถหรู ๆ หรือเสพสุขทางอื่น อย่างไรก็ตามผมก็ยังจ่ายโบนัสในสัดส่วนเดิม อาจกล่าวได้ว่าการที่เราไม่ ฉ้อฉลเพราะเรามี CSR ที่แท้ที่มุ่งรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญยิ่งเช่นกัน

ทำไมจึงจ่ายโบนัสได้

หากวิสาหกิจของผม มีระบบสวัสดิการที่หรูเลิศสำหรับผู้บริหาร มีรถประจำตำแหน่ง อยู่กินราวกับเจ้าขุนมูลนายใหญ่โต มีค่าใช้จ่ายด้านการบันเทิงกันอย่างหรูเลิศ โอกาสที่จะมีโบนัสให้พนักงานก็คงจะน้อย อย่างไรก็ตามสำหรับกิจการ (กึ่ง) ผูกขาดหลายแห่ง ซึ่งสามารถทำกำไรได้มหาศาลด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ก็อาจมีระบบสวัสดิการที่หรูเลิศได้โดยยังมีการจ่ายโบนัสอย่างงามเช่นกัน สำหรับวิสาหกิจที่ผมบริหารอยู่ ปรากฏตัวเลขการประกอบการในปีงบประมาณ 2551-52 นี้ว่า ปริมาณงานของเรายังไม่ได้ลดลง ทั้งนี้เพราะเราได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้บริการ โดย AREA เป็นที่ปรึกษาที่ไม่เป็นนายหน้าและไม่พัฒนาที่ดินเอง ทั้งนี้เพื่อความเป็นกลางทางวิชาชีพ และยังลงทุนพัฒนาระบบงานต่าง ๆ จนสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากตัวเลขผลการประกอบการกลับพบว่า รายได้ลดลง ต้นทุนเพิ่มขึ้นและแน่นอนว่ากำไรสุทธิก็ย่อมลดลงด้วย แต่เราก็ยังจ่ายโบนัสเพราะเราไม่อาจโกงเพื่อนร่วมงาน และถือว่าเพื่อนร่วมงานเป็นทรัพยากรสำคัญที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุด เราจึงเชื่อถือตามหลักที่ว่า ยิ่งให้ ยิ่งได้” “ทำดีได้ดีอันนี้ไม่ใช่การ อมพระมาพูดนะครับ แต่เป็นเรื่องจริงจากการลงทุนกับเพื่อนร่วมงานนั่นเอง

เพื่อนร่วมงานของเราสำคัญจริงวิสาหกิจทั้งหลายมักจะบอกว่าพนักงานเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุดของวิสาหกิจตน ผมเชื่อว่า คำกล่าวดังกล่าวเป็นเพียงคำหวานเสียมากกว่า วิสาหกิจประเภทโรงงาน ปัจจัยการผลิตหลัก ไม่ใช่พนักงาน แต่เป็นเครื่องจักรกลต่างหาก ถ้าเป็นสถาบันการเงิน ปัจจัยการผลิตหลักก็คือ เงิน (ต่อเงิน) พนักงานเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่จะ จ้างออกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเป็นบริษัทพัฒนาที่ดิน ปัจจัยการผลิตหลักอยู่ที่อสังหาริมทรัพย์ พนักงานเป็นเพียงปัจจัยเล็ก ๆ เช่นกัน

แต่สำหรับวิสาหกิจในสาขาบริการ พนักงานเป็นปัจจัยการผลิตหลักที่แท้จริง เราจึงต้องจัดฝึกอบรมเพื่อนร่วมงานทั้งองค์กรปีละ 2 ครั้ง จัดอบรม-สอบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ส่งไปเรียนนอก ส่งไปเรียนโท ส่งไปฝึกอบรม ฯลฯ เพื่อเคี่ยวเข็ญให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น เราจึงไม่มีเพื่อนร่วมงานประเภท แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานผมมักบอกเพื่อนร่วมงานว่า หนทางที่ AREA จะเจริญได้ ก็คือการ เกาะใบบุญตามการพัฒนาของพวกเขานั่นเอง

ทำอะไรให้เพื่อนร่วมงานบ้าง

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมจึงขออนุญาตแจกแจงให้เห็นว่า AREA ได้ลงทุนอะไรกับเพื่อนร่วมงานบ้าง เช่น

เงินฝากให้พนักงาน (3% ของเงินเดือน) ปีละประมาณ 648,000 บาท

บริการเครื่องดื่มและเครื่องสันทนาการ ปีละประมาณ 240,000 บาท

ทุนการศึกษาบุตรเพื่อนร่วมงาน (คนละ 5,000 บาท) ปีละประมาณ 150,000 บาท

การจัดงานวันเกิด ปีละประมาณ 96,000 บาท

การจัดท่องเที่ยวที่ AREA จ่ายให้ ปีละประมาณ 250,000 บาท

การสัมมนาประจำปี (2 ครั้งต่อปี) ปีละประมาณ 500,000 บาท

การศึกษา ดูงานทั้งใน-ต่างประเทศ ปีละประมาณ 400,000 บาท

รางวัลพนักงานดีเด่นรายเดือนและปี ปีละประมาณ 64,000 บาท

การประชุม 2 สัปดาห์ต่อครั้งตลอดปี ปีละประมาณ 325,000 บาท

งบประมาณสนับสนุนการท่องเที่ยว ปีละประมาณ 150,000 บาท

เงินช่วยเหลือคลอดบุตร แต่งงาน บวช (คนละ 4,000 บาท) ปีละประมาณ 60,000 บาท

เงินจำนวนประมาณ 2.8 ล้านบาทที่จ่ายไปนี้ นอกจากทำให้เกิดความรู้สึกดีที่ได้ให้แล้ว ยังถือเป็นการลงทุนเพื่อหวังผลให้เพื่อนร่วมงานของเราแตกต่างและทำให้ผมสามารถ ฝากผีฝากไข้กับพวกเขาได้อีกด้วย ผมไม่เคยคิดที่จะพูดว่า ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนซึ่งผมเชื่อว่าเป็นคำพูด เล่นลิ้นมากกว่า

ท่านทราบหรือไม่ มีการศึกษาพบว่า สมองมนุษย์จะปลอดโปร่งขึ้นเมื่อได้เป็นผู้ให้ และระบบเส้นประสาทที่เรียกว่า Vagus คือสาเหตุที่ทำให้เราอยากช่วยเหลือผู้อื่น อยากให้และอยากเสียสละ ทั้งนี้เป็นเพราะมีสารเคมีชนิดหนึ่งคือ oxytocin อยู่ ในเส้นประสาท หากคน ๆ หนึ่งได้รับสารนี้พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง คนๆ นั้นก็จะมอบเงินให้กับคนแปลกหน้าจนเกือบไม่เหลือติดตัวเลยทีเดียว

สรุป

อาจกล่าวได้ว่า CSR กับพนักงานนั้น หัวใจสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การชวนพนักงานไปบำเพ็ญประโยชน์ แต่อยู่ที่การทำนุบำรุงพวกเขาให้เติบใหญ่อย่างยั่งยืนไปพร้อมกับวิสาหกิจของเรา การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในส่วนที่เกี่ยวกับพนักงานในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญนั้น จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากพนักงานของวิสาหกิจใดยังย่ำอยู่กับที่ทั้งที่ทำงานโดยสุจริตและไม่สุรุ่ยสุร่ายหรือโชคร้ายมา 10-20 ปีแล้ว ต่ในขณะเดียวกันวิสาหกิจนั้นกลับเติบใหญ่ไพศาล ก็อาจอนุมานได้ว่าวิสาหกิจนั้นยังขาด CSR นั่นเอง

* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้เป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย (www.thaiappraisal.org) ผู้เขียนหนังสือ “CSR ที่แท้ซึ่งอ่านได้ฟรีที่ http://csr.igetweb.com และยังเป็นกรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง และสาขาอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@thaiappraisal.orgThis e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

ที่มา http://thaisocialwork.igetweb.com/index.php?mo=5&qid=25700

 

aphondaworathan