ความสำคัญในการทำ CSR (ตอนที่ 1)
บทความ
ความสำคัญในการทำ CSR (ตอนที่ 1)
แนวคิดทางธุรกิจเรื่อง CSR นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลกมากขึ้น โดยในการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2542 นาย Ko? Annan เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ร่วมกับ 5 หน่วยงานของ UN (ILO, UNDP, UNEP, UNCHR, UNIDO) และภาคธุรกิจ ได้ออกบัญญัติ 9 ประการ ที่เรียกว่า “The UN Global Compact” ซึ่งแบ่งเป็น 3 หมวดหลัก คือ หมวดสิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน และสิ่งแวดล้อม และต่อมาได้เพิ่มบัญญัติที่ 10 คือ หมวดการต่อต้านคอร์รัปชั่นไว้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรธุรกิจจากทั่วโลกเป็นสมาชิกของ UN Global Compact รวม 1,861 บริษัท (เป็นบริษัทในประเทศไทย 13 บริษัท) และเมื่อเดือนกันยายน 2547 International Organization for Standardization (ISO) ได้ตกลงร่วมกันที่จะร่างมาตรฐาน “ISO-Social Responsibility” เพื่อให้การรับรององค์กรธุรกิจที่สามารปฏิบัติตามแนวคิด CSR ซึ่งองค์กรที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานดังกล่าว จะเป็นการช่วยเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าหรือบริการขององค์กร และยังช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในการซื้อสินค้าหรือบริการขององค์กรนั้น ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มว่า หากองค์กรใดไม่ปฏิบัตตามแนวคิด CSR อาจเกิดปัญหาในการทำการค้ากับกลุ่มประเทศ/บริษัทที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวนี้
ในประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกันที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก CSR มากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีความคาดหวังจาก Supplier ว่าต้องมีมาตรฐาน CSR ด้วย อย่างเช่น เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้แนะนำผู้ทำธุรกิจการค้าไทยว่าควรที่จะนำมาตรการดูแลสังคม หรือ CSR ด้านการจัดการ Supply Chain ไปปฏิบัติกับบริษัทคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ เพราะขณะนี้สภาการค้าต่างประเทศญี่ปุ่นได้เห็นชอบให้นำมาตรการ CSR ด้านการจัดการ Supply Chain มาใช้แล้ว โดยกำหนดให้ต้องดำเนินการใน 7 เรื่อง อาทิ การเคารพสิทธิมนุษยชนของลูกจ้าง การป้องกันการกดขี่ข่มเหงแรงงาน การรักษาความปลอดภัย สุขลักษณะและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีแก่ลูกจ้าง ซึ่งการกำหนด CSR ด้านการจัดการ Supply Chain เกิดจากการที่คณะกรรมการศึกษามาตรการ CSR ของสภาการค้าต่างประเทศญี่ปุ่นได้วิจยแนวโน้มการปฏิบัติตามมาตรการ CSR ของอุตสาหกรรมทั้งภายในและต่างประเทศ โดยสำรวจความคิดเห็นบริษัทต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และพบว่ากลุ่มบริษัทการค้าของญี่ปุ่นได้เริ่มนำมาตรการ CSR ด้านการจัดการ Supply Chain มาปฏิบัติ จนนำมาสู่การกำหนด 7 มาตรการดังกล่าว เป็นต้น
จากการสำรวจทัศนคติของผู้บริโภคเกี่ยวกับการรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคมของสถาบันคีนันแห่งเอเชียร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์พบว่าผู้บริโภค 60% เลือกที่จะซื้อสินค้าและบริการจากธุรกิจที่ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้า หรือช่วยระดมทุนเพื่อช่วยเหลือสังคม นอกจากนั้น 59% ยังแสดงความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการที่รับผิดชอบต่อสังคม แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มก็ตาม 73% จะเลือกซื้อจากบริษัทที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากเกินไป และ 87% ยังจะแนะนำสินค้าบริการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมให้ครอบครัวและญาติพี่น้อง
การที่บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับการปฎิบัติตามหลัก CSR นั้น ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำให้สังคมยอมรับ ทั้งกับผู้บริโภค supplier หรือแม้กระทั่งคู่แข่งในการดำเนินธุรกิจของบริษัท การที่บริษัทดำเนินกิจการโดยใส่ใจกับสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้น ย่อมส่งผลให้บริษัทสามารถได้รับโอกาสจากประชาชน แม้ในยามภาวะวิกฤตร้ายแรงก็ตาม รวมทั้งบริษัทยังสามารถเข้าไปศึกษาหรือมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐาน กลไกต่างๆ ของรัฐอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ในกลุ่มบริษัทที่ไม่สนใจผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลต่อความเสี่ยงที่จะโดนมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ประชาสังคม และจากต่างประเทศในการยอมรับสินค้านั้นๆ
การทำ CSR ยังเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างจุดยืนทางการตลาดแก่ธุรกิจด้วย ซึ่งในประเทศอังกฤษ 92% ของผู้บริโภคเชื่อว่า บริษัทควรมีมาตรฐานแรงงานสำหรับ supplier ด้วย และ 14% กล่าวว่าความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าของตนซึ่งแนวคิดเช่นนี้กำลงแผ่ขยายไปทั่วโลกในการวิจัยด้านทัศนคติของผู้บริโภคต่อการรับผิดชอบต่อสังคม ได้ ทำการวิจัยกลุ่มคนกว่า 25,000 คน ใน 26 ประเทศ (งานวิจยโดย IpsosMori) พบวาผู้บริโภคส่วนใหญ่พัฒนาความคาดหวังและความประทับใจต่อบริษัทต่างๆ มาจากปัจจัยด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทมากกว่าการสร้างตราสินค้า (brand) หรือความสำเร็จทางการเงินของบริษัทนั้นๆ
ที่มา: http://www.csri.or.th/knowledge/csr/190 / สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม Corporate Social Responsibility Institute (CSRI)